นัดแห่งความทรงจำ เจ็ดนาทีแห่งความโกลาหลในการแข่งขันพบกับ อาร์เซนอล

การแข่งขันพรีเมียร์ลีกอาจจะมีไม่กี่นัดที่สร้างความดราม่าให้กับผู้ชมได้มากเท่ากับการแข่งขันที่เลสเตอร์ ซิตี้ เสมอ อาร์เซนอล 3-3 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ปี 1997

ทั้งสองทีมมีอยู่ 7 คะแนนเท่ากันก่อนการแข่งขันที่กำลังจะมีขึ้น ภายใต้การคุมทีมของ มาร์ติน โอนีล เลสเตอร์ ทำผลงานได้ดีตั้งแต่เปิดฤดูกาล โดยคว้าชัยเหนือ แอสตัน วิลล่า และ ลิเวอร์พูล ก่อนบุกเสมอเจ้าบ้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์

ซิตี้ รู้ดีว่าจะต้องพบกับความท้าทายอีกครั้งในการแข่งขันนี้ เมื่อต้องพบกับลูกทีมของกุนซือ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่ต้องการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการชาวฝรั่งเศส

เขาซื้อมิดฟิลด์ ตัวฉกาจอย่าง ปาทริค วิเอร่า, เอ็มมานูเอล เปอตีต์ รวมถึง กองหน้าอย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์ เข้าร่วมทีม

ด้าน โอนีล ผู้จัดการทีมจิ้งจอก เตรียมรับมือกับทีมเยือนโดยจัดการเล่นระบบ 3-5-2 ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง และ ยังได้ เอมิล เฮสกีย์ ร่วมทีม

โดยเลสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสในการทำประตูแรกของเกม โดย แข้งดาวรุ่งวัย 19 ปี เอมิล เฮสกีย์ แต่กลับกลายเป็นทีมเยือนที่ทำประตูแรกได้ โดยแข้งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ยิงประตูระยะไกลเข้ามุมบนเสาสอง

"โอ้ว นั่นเป็นลูงยิงที่สุดวิเศษ" จอน แชมเปี้ยน นักพากษ์ กล่าว

และเขาทำประตูที่สอง โดยเหลือเวลาในการแข่งขันอีกเพียง 9 นาที แสดงให้เห็นความสามารถของเขาที่ขึ้นแท่นแข้งพรสรรค์ในยุโรป ช่วงปีทศวรรษ 1990 โดย วิเอร่า รับบอลจากกลางสนามส่งต่อให้กับ เบิร์กแคมป์ ที่วิ่งขึ้นมาเติม แต่ เคซี่ย์ เคลเลอร์ ผู้รักษาประตุเลสเตอร์ ซิตี้ ออกมาสกัดลูกนอกเขตโทษ ทำให้เบิร์กแคมป์ กระดกบอลยาวเข้าประตูไป

Expand photo

Centre-half Matt Elliott scored City's first equaliser to square the game up at 2-2.

แต่เลสเตอร์ ทำการสวนกลับเร็วทันที โดย เฮสกี้ ส่งบอลให้ สตีฟ กัปปี้ แต่ขึ้นมาจับบอลไม่ทัน และสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น
โอนีล ตัดสินใจ ส่ง แกรี่ พาร์คเกอร์ และ โทนี่ ค็อตตี้ ลงแทน ร็อบบี้ ซาเวจ และ อิซเซ็ต และพาร์คเกอร์ ก็สร้างโอกาสในการทำประตู
เขาครอสบอลหน้าประตูมาให้กับ เอมิล เฮสกี้ หน้าประตู ซึ่งเขาจับและแตะบอลหนี เดวิด ซีแมน และ ลี ดิ๊กซัน ซัดบอลเข้าประตูระยะประชิด ทำประตูแรกให้กับเลสเตอร์ ซิตี้

เหลือเพียง 6 นาทีในการแข่งขัน อย่างน้อยที่สุด เลสเตอร์ ซิตี้ สมควรได้รับจากความพยายามอันกล้าหาญของพวกเขาซึ่งทำให้แฟนบอล ที่ฟิลเบิร์ต สตรีท กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในช่วงเวลาหลังของเกม

สตีฟ วอลช์ กัปตันทีม โชว์ลูกอันตรายจากเซ็ต พีซ แต่โหม่งข้ามคานทำให้พลาดโอกาสในการทำประตู จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงทดเวลาเจ็บ แต่ แมตต์ เอลเลียตต์ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

ลูกบอลโด่งมาเข้าทาง เอลเลียตต์ ที่อยู่กรอบนอกจุดโทษเขาจับบอลแล้วยิงด้วยขวาอย่างช่ำชอง เสียบเข้าเสาสอง พาจิ้งจอกเสมอทีมเยือน 2-2

ยังความมันส์ยังไม่จบอยู่แค่นี้ เบิร์กแคมป์ทำแฮตทริก ในการแข่งขัน

Expand photo

Bergkamp celebrates his sublime hat-trick goal.

เดวิด พลีท ส่งบอลยาวเข้ากรอบโทษของ เลสเตอร์ ซิตี้ และกองหน้าของอาร์เซนอล เข้าจับบอลด้วยเท้าขวาแล้วตวัดด้วยซ้ายผ่าน เอลเลียตต์ กองหลังของเลสเตอร์ แล้วแปเน้นๆ เข้าประตู

เทคนิคของเขานั้นเยี่ยมมากและจบได้อย่างสวยงาม

แฟนบอลทีมเยือนคิดว่าพวกเขาได้คว้า 3 แต้มไปครองแต่เกมไม่ได้จบแบบนั้น

และในช่วงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ลูกเตะมุม โดยแกรี่ พาร์คเกอร์ รับหน้าที่ เขาเปิดบอลมาเข้าทางกัปตันทีม สตีฟ วอลช์ ที่เทคตัวขึ้นโหม่งมาที่หน้าเสาสอง โดย เอลเลียตต์ เขาโหม่งปาดหน้าประตูมาที่เสา 1 กลับมาให้กับ วอลช์ ที่วิ่งขึ้นมาโหม่งบอลเข้าประตู พาทีมตีเสมอ 3-3 นับเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียว