“เทพนิยาย” แห่ง พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 และ เลสเตอร์ ซิตี้
ตามที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 คือกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท และสวรรคตในสนามรบทุ่งบอสเวิร์ธ เขตเลสเตอร์เชียร์ในวันที่ 22 สิงหาคม 1485 อย่างไรก็ตาม โลกต้องรอถึงกว่า 500 ปีต่อมากว่าที่พระศพของพระองค์ที่ลานจอดรถเทศบาลเมืองเลสเตอร์ จะถูกค้นพบ
และนอกจากเรื่องที่พระศพของ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ถูกเผาไปในปี 2015 เรียบร้อยแล้ว แฟนๆ “จิ้งจอกสยาม” หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระองค์เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของสโมสรฟุตบอลได้อย่างไร
เหตุการณ์ที่พระองค์สวรรคตในสนามรบทุ่งบอสเวิร์ธนั้นเกิดขึ้นก่อนการก่อตั้งสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ฟอสส์ ในปี 1884 หรือประมาณเกือบ 400 ปีก่อนหน้านั้นนั่นเอง ซึ่งในยุคศตวรรษที่ 15 นั้น กีฬา ยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไป เราจะค้นพบสายสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดระหว่าง พระองค์ และ เลสเตอร์ ซิตี้
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในวันที่ 25 สิงหาคม 2012 เมื่อ หน่วยบริการโบราณคดีอยู่ที่ภายใต้สังกัดของมหาวิทยาลัยเลสเตอร์เริ่มต้นการขุดหาพระศพที่ลาดจอดรถเทศบาล
และแม้จะใช้เวลาในการทำทางศึกษาค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆมากมาย ทว่าทีมงานก็ยังคิดว่ามีโอกาสน้อยมากๆที่จะได้เจอพระศพในบริเวณดังกล่าวจริง
ทว่าเพียงวันที่สอง(วันนั้นเป็นวันเสาร์)ของการขุดหาพระศพ พวกเขาก็พบโครงกระดูกส่วนขาตรงตำแหน่งที่มีตัว R บนลานจอดรถพอดี
ทำให้ทีมโบราณคดีเริ่มมีความหวังและทำการขุดต่อไปอย่างระมัดระวัง พร้อมกับเชื่อว่านี่อาจจะเป็นการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์
ห่างออกไปประมาณ 130 ไมล์ทางเหนือ ที่สนามของ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในวันเดียวกัน วันที่ยังไม่มีใครรู้จักดาวเตะจากนอกลีกที่ไม่มีใครรู้ว่า เขาคนนั้นจะกลายเป็นตำนานของสโมสรในเวลาต่อมา ยิงประตูแรกในลีกให้กับ “จิ้งจอกสยาม” ได้ เขาคนนั้นชื่อ เจมี่ วาร์ดี้
อีกสัปดาห์ต่อมา เบ็น มาร์แชลล์ ก็ยิงประตูชัยให้ เลสเตอร์ฯ เปิดรัง คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ชนะ แบล็คพลู ได้อีกนัด
ขณะที่ไม่ไกลจากสนาม ทีมค้นหาพระศพของ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ได้ทำการขุดต่อไปอย่างไม่ลดละ
ก่อนที่จากนั้นอีกไม่นาน พวกเขาจะพบโครงกระดูกอีกหลายส่วน จนทำให้ความคาดหวังว่านี่คือพระศพของ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อถึงสิ้นเดือนมกราคม ปี 2013 เลสเตอร์ฯ ทำผลงานได้ดีต่อเนื่องพร้อมขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำของ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ โดย “จิ้งจอกสยาม” คว้าชัยได้ 5 เกมติดต่อกันเป็นครั้งที่สองของซีซั่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเกมถล่ม ฮัดเดิ้ลฟิลด์ ทาวน์ เละเทะ 6-1
ในช่วงเวลาเดียวกัน ทีมโบราณคดีของของมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ เตรียมจัดแถลงข่าวครั้งประวัติศาสตร์ที่พวกเขาค้นพบโครงกระดูกของกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษจริง
ผลแถลงข่าวระบุว่า ผลจากการตรวจสอบโครงกระดูกที่พบใต้ลานจอดรถ ทั้งการตรวจโครงกระดูกดูบาดแผลที่เกิดเปรียบเทียบกับเอกสารบันทึกต่างๆ การตรวจหาอายุของโครงกระดูก และการตรวจสอบ DNA สามารถสรุปได้ว่านี่เป็นพระศพของกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท จริง
ในงานแถลงข่าว ทุกคนตื่นเต้นมาก การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นการค้นพบทางโบราณคดีครั้งยิ่งใหญ่บนเกาะอังกฤษเลย สื่อมวลชนมากมายเข้าร่วมงาน พร้อมกับกลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก
ทว่า อีกไม่กี่วันต่อมา “จิ้งจอกสยาม” เจอกับเรื่องไม่คาดฝันและถือว่าผิดธรรมชาติเหมือนกัน เมื่อพวกเขาออกไปเยือน “บ๊วย” อย่าง ปีเตอร์โบโร่ แต่ดันแพ้ออกมา 1-2 พร้อมกับเป็นจุดเริ่มต้นของฟอร์มห่วยต่อเนื่อง
แม้สุดท้ายแล้ว ลูกทีมของ ไนเจล เพียร์สัน จะฮึดสู้พร้อมกับคว้าพื้นที่เพลย์ออฟในวันสุดท้ายของซีซั่นได้ด้วยการปราบ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อย่างสุดมันส์ถึงบ้าน
แต่ว่าการพ่ายแพ้ต่อ วัตฟอร์ด แบบสุดดราม่าในเกมชิงตั๋วนัดชิงเพลย์ออฟฯ ก็ทำให้พวกเขายุติความฝันที่จะกลับสู่พรีเมียร์ลีกในรอบ 9 ปีไว้แค่นั้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยความผิดหวังในวันนั้น ทำให้อีกหนึ่งปีต่อมา เลสเตอร์ฯ กลับมาอย่างแข็งแกร่ง พร้อมทำลายสถิติทำแต้มสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรในฤดูกาล 2013/14 พร้อมคว้าแชมป์ สกายเบ็ท แชมเปี้ยนชิพ อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเก็บไปถึง 102 คะแนน
และถือว่าเป็นการฉลองชัยครั้งใหญ่ที่ “จิ้งจอกสยาม” สามารถกลับสู่ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ พวกเขายังขึ้นชั้นได้ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ขณะที่เหลือเกมเตะถึง 6 เกม
ในปีนั้น กองเชียร์ “เดอะ ฟ็อกซ์” ฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดบัสทัวร์รอบเมือง แต่นั่นไม่ใช่ช่าวดีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
เพราะว่า หลังจากที่โต้เถียงกันมานานระหว่างเมือง เลสเตอร์ และ ยอร์ก จนสุดท้ายต้องให้ศาลสูงสุดตัดสินว่า พระศพของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ควรถูกเก็บไว้ที่ใดนั้น ปรากฎว่า ศาลตัดสินให้ดวงวิญญาณของพระองค์ประทับอยู่ที่ เลสเตอร์ ต่อไป
หลังจากวันนั้น ผลงานของ “จิ้งจอกสยาม” ยังไม่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาเสมอ 2 และแพ้ 5 ก่อนที่เกมต่อมาใน วันที่ 21 มีนาคม 2015 ที่ ทีมดังแห่งมิดแลนด์ อุตส่าห์เล่นได้ดีมาก ทว่าก็ยังพ่าย สเปอร์ส ไป 3-4 ที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน อีก
ถึงตรงนั้น พวกเขามีเพียง 19 คะแนนและเหลือเกมอีกเพียง 9 นัด จนทำให้นักข่าวและนักวิเคราะห์ทุกสำนักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ปาฏิหาริย์” เท่านั้นที่จะทำให้ เลสเตอร์ฯ รอดตาย
ขณะที่ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 กำลังเตรียมเข้าสู่พิธีศพอย่างเป็นทางการหลังจากรอคอยมากว่าครึ่งสหัสวรรษ โดยพิธีจะเริ่มจากการเคลื่อนพระศพจาก มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ไปยัง สนามรบทุ่งบอสเวิร์ธ ก่อนที่จะเข้าสู่วิหารแห่งเมืองเลสเตอร์ ซึ่งจะเป็นที่ประทับของพระองค์
มีการจดบันทึกว่าประชาชนกว่า 35,000 คนออกมาอยู่ตามถนนในเมืองเพื่อรอส่งพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย และมีนักท่องเที่ยวมากมายหลายคนที่ตั้งใจเดินทางมาเป็นพยานในวันนั้นด้วย
และไม่แน่เหมือนกันว่า เพราะเหตุการณ์ในวันนั้น อาจทำให้พลังและจิตวิญญาณกลับสู่ทัพ เลสเตอร์ฯ และ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม อีกครั้ง
พิธีศพของพระองค์ถูกจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม 2015 อย่างเสร็จสมบูรณ์ ก่อนที่อีก 9 วันต่อมา “จิ้งจอกสยาม” จะเปิดรังพบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
และจุดเริ่มต้นของเทพนิยายภาคแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อตำนานอย่าง เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ ยิงให้ทีมขึ้นนำไปก่อน ก่อนที่ในนาทีที่ 86 หนึ่งในลูกหม้อของทีมอย่าง แอนดี้ คิง จะยิงประตูตอกย้ำชัยชนะ
สามแต้มในเกมนั้นคือสามแต้มแรกที่ทีมเก็บได้ หากนับตั้งแต่กลางเดือนมกราคม มันทำให้ทั้ง เลสเตอร์ฯ มีหวัง พร้อมกับทำให้คนทั้งเมืองเชื่อว่า พวกเขาอาจจะยังรอดตายได้
อย่างไรก็ตาม ยอดทีมแห่งมิดแลนด์ ยังคงเป๊น “บ๊วย” ดังเดิม แต่ด้วยชัยชนะเหนือ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และ สวอนซี ในอีกสองเกมต่อมา ทำให้ความฝันของ เลสเตอร์ฯ ยังไปต่อได้
เกมต่อมาคือเกมสำคัญที่สุดเมื่อพวกเขาต้องไปเยือน เบิร์นลี่ย์ ซึ่งเป็นคู่แข่งหนีตายโดยตรงในช่วงปลายเดือนเมษายน อีกทั้งยังเป็นเกมสุดดราม่าที่สุดอีกนัด
โดย แอนโธนี่ เทยเลอร์ ผู้ตัดสินในเกมนั้นเป่าจุดโทษให้เจ้าบ้าน หลังมองว่า พอล คอนเชสกี้ ทำฟาล์ว ก่อนที่ แม็ตตี้ เทยเลอร์ จะยิงไปชนเสา
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา เลสเตอร์ฯ สวนกลับและเป็น วาร์ดี้ ที่ยิงประตูขึ้นนำให้กับทีมได้ ก่อนที่จะจบเกมที่สกอร์นี้
นับเป็นสามแต้มอีกเกมของ “จิ้งจอกสยาม” พร้อมกับทำให้ทีมหลุดจากโซนตกชั้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วง คริสมาร์ต อย่างมหัศจรรย์
ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2015 หลังจากที่พระศพของ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 มาประทับอย่างเป็นทางการพร้อมได้รับเกียรติจากชาวเลสเตอร์เชียร์ได้เกือบเดือนครึ่ง วันนั้น เลสเตอร์ฯ ต้องการอีกเพียงคะแนนเดียวจากการไปเยือน ซันเดอร์แลนด์ ที่ สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ ก็จะทำให้พวกเขารอดตกชั้นได้สำเร็จ
จากหนังสือประวัติศาสตร์บอกว่า สงครามที่ทุ่งบอสเวิร์ธ ใช้เวลาประมาณ 90 นาทีก่อนที่ กษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 จะถึงแก่ฆาต ดังเปรียบได้ดั่ง 90 นาทีที่แถวตะวันออกเฉียงเหนือในวันนั้น วันที่อาจจะตัดสินชะตาของสโมสรที่ชื่อ เลสเตอร์ ซิตี้
ผลเกมนั้นจบลงที่ 0-0 และทำให้ “จิ้งจอกสยาม” สร้างสิ่งที่ทุกคนเรียกว่า “ปาฏิหาริย์” บังเกิดขึ้น ณ ดินแดนตอนกลางแห่งเกาะอังกฤษ และอย่างที่ทราบกันว่าสิ่งที่ “มหัศจรรย์” กว่านั้น เกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อมา
เมื่อ เลสเตอร์ฯ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2016 ได้อย่างยิ่งใหญ่ หลังจากที่พระศพของกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท ถูกเผาไปเพียง 400 กว่าวัน
ในซีซั่นนั้น “จิ้งจอกสยาม” ชนะ 30 เกม เสมอ 13 นัด และแพ้เพียง 4 แมตช์เท่านั้น พร้อมกับได้รับการยกย่องว่า เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุดตลอดกาลของวงการกีฬาโลก
และแม้จะอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ ทว่าเรื่องราวของ เลสเตอร์ ซิตี้ และ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ก็ถูกพันผูกเข้าด้วยกันอย่างถูกที่ถูกเวลา พร้อมกับเป็น “เทพนิยาย” ที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล